Creative Resume หรือประวัติงานแบบสร้างสรรค์ ซึ่งหลายๆท่านบางครั้งก็อาจจะเคยผ่านหูผ่านตามาบ้างแล้ว สำหรับ pattern หรือ template เยี่ยมๆที่แชร์กันหลักหมื่นใน Facebook แต่ว่าวันนี้พวกเราจะมาทำความรู้จักกับมันให้มากยิ่งขึ้น แตกต่างจากการเขียนประวัติย่อสำหรับใช้สมัครงานแบบปกติอย่างไร
โดยธรรมดาแล้วถ้าหากเอ่ยถึงการเขียนประวัติแบบย่อสำหรับเพื่อใช้ในการสำหรับสมัครงาน พวกเราชอบรำลึกถึงลักษณะของกระดาษสีขาวที่มีเนื้อความอยู่เต็มไปหมด ดูเป็นทางการ ซึ่งในขณะนี้ยังคงนิยมใช้อยู่ในบริษัทที่ conservative (อนุรักษ์นิยม) รวมทั้งบริษัทของทางราชการ แต่ว่าในสมัยที่บริษัทใหม่ๆผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดตอบรับคน Gen-Y ที่มีความคิดแบบเปิดกว้าง ทันสมัย ทำให้ creative
resume เริ่มเป็นที่นิยมกันอย่างล้นหลาม หลบลี้จากแบบเดิมๆที่มีเพียงแต่ข้อความเพียงอย่างเดียวให้มีชีวิตชีวา แล้วก็น่าอ่านมากเพิ่มขึ้น พูดได้ว่าเปิดโอกาสให้แต่งตั้งผลงานให้ถูกตาต้องใจ เหล่า HR ยุคใหม่ให้ถือขึ้นมาอ่านจากกองประวัติความเป็นมางานที่ส่งเข้ามาเป็นพันๆแผ่น
วันนี้แอดไม่นหยิบยกมาเพียงแต่แบบที่มองเห็นกันหลายครั้งที่สุดแล้วก็เขียนง่ายที่สุดมาให้นักอ่านเอาไปลองปรับใช้กับของตัวเองมองค่ะ Creative resume มีส่วนที่นิยมใส่เข้าไปถึง 8 หัวข้อดังนี้
#1 ข้อมูลส่วนบุคคล
ส่วนนี้ให้ลองนึกถึง Business Card หรือนามบัตร ซึ่งประกอบไปด้วย ชื่อ ชื่อสกุล และก็ข้อมูลติดต่ออย่างเช่น เบอร์โทรศัพท์ อีเมล์ รวมทั้งที่อยู่ตอนนี้ ส่วนนี้ควรเป็นพื้นที่ๆเห็นแน่ชัดที่สุด เนื่องจากว่า HR สามารถติดต่อเราได้ในทันที คุณอาจจะใส่รูปโปรไฟล์ที่มอง Professional สูงที่สุด ยิ้มได้ค่ะ ไม่มีความจำเป็นต้องเป็นภาพถ่ายนิ้วครึ่งสมัครงานที่ร้านถ่ายภาพคำแนะนำ: คุณอาจจะแทรกรูปภาพพื้นข้างหลังที่สมาคมกับตำแหน่งงานที่คุณสมัคร หรือบางครั้งก็อาจจะเป็นสีพื้นๆที่ไม่สว่างจ้า แสบสันจนเหลือเกิน
ให้คุณกำหนดข้อมูลส่วนตัวลงในส่วนนี้ ได้แก่ วันเดือนปีเกิด อายุ ความสูง น้ำหนัก สัญชาติ เพศ สถานภาพสมรส และก็สถานภาพทางการทหาร เนื่องจากว่าบางตำแหน่งอาจมี หลักเกณฑ์กลุ่มนี้ร่วมอยู่ด้วยอย่างพนักงานต้อนรับบนเรือบินที่ต้องการรู้ความสูง ฯลฯ
#2 Career Objective
ส่วนนี้เป็นข้อความสั้นๆหนึ่งย่อหน้าที่คุณต้องการจะบอกกับหัวหน้างานในตำแหน่งที่คุณสมัครว่า คุณมีความสามารถความสามารถใดที่จะผลักดันให้องค์กรหรือกลุ่มนั้นๆประสบความสำเร็จได้ หลบหลีกข้อความในเชิงที่หมายความว่าคุณอยากได้อะไรจากองค์กร เช่น ถ้าเกิดได้งานนี้จะก่อให้อาชีพงานการของคุณเจริญรุ่งเรือง
#3 Language Skills
ความรู้ความเข้าใจทางด้านภาษา ให้ท่านกำหนดทุกภาษาที่คุณใช้ติดต่อลงไป โดยบางครั้งอาจจะใช้ term กลุ่มนี้กำหนดถึงระดับความสามารถ
#4 Education
ส่วนของการศึกษาเล่าเรียน ให้คุณเรียงลำดับจากโรงเรียนปัจจุบันย้อนกลับไปยังสถานศึกษาในอดีตโดยลักษณะของการเขียนคือ เดือนปีที่เริ่มเรียนถึงเดือนปีที่เรียนจบ สถาบันที่ศึกษาเล่าเรียน, วุฒิการศึกษา, และ GPA (ถ้าเกิดเกิน 3)
#5 Working Experience
ส่วนนี้เป็นหัวใจสำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสมัครพนักงานในตำแหน่งที่อยากประสบการณ์มากกว่า 2 ปี คุณอาจวางส่วนนี้ก่อนหน้าส่วนของการเรียนก็ได้ กรรมวิธีเขียนเหมือนกับส่วนของการเรียนตรงที่ให้คุณเรียงลำดับจากงานปัจจุบันก่อน ลักษณะของการเขียนคือ เดือนปีที่เริ่มเข้าทำงานจนกระทั่งเดือนปีที่จบการทำงาน ชื่อบริษัทใช้ตัวหนาเพื่อย้ำใจความ และก็ตามด้วยชื่อตำแหน่งซึ่งใช้ตัวเอียงเพื่อย้ำจุดสำคัญ อีกบรรทัดหนึ่งคุณควรจะใส่รายละเอียดของงานที่คุณทำ รูปแบบของงานรวมทั้งหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ในส่วนของผู้สมัครสถานที่ทำงานด้านไอที คุณควรใส่ Project ที่คุณทำ หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบและก็เทคโนโลยีที่คุณใช้ เพื่อ Hiring manager เห็นถึงความสามารถที่คุณมี รวมทั้งรู้ว่าคุณเหมาะกับการทำงานในหน่วยงานของเขาในตำแหน่งที่สมัครไว้ไหม
#6 Certificates & Trainings
หากคุณมีใบประกาศนียบัตร หรือหลักสูตรอบรมด้านวิชาการต่างๆควรใส่ตรงส่วนนี้เพื่อสร้างเสริมความเชื่อมั่นและมั่นใจให้กับ Hiring manager ว่าคุณมีใบประกาศมาการันตีความสามารถนอกเหนือจากประสบการณ์การทำงานอีกด้วย
#7 References
และที่ห้ามให้ขาดเลยเด็ดขาดเป็นส่วนของการอ้างอิง โดยที่คุณควรใส่บุคคลที่อ้างอิงได้ว่าคุณปฏิบัติงานหรือเคยปฏิบัติงานจริงในบริษัทนั้นๆรวมทั้งต้องเป็นบุคคลที่มีความเชื่อมโยงอันใกล้ชิดสำหรับการดำเนินงาน อาจจะเป็นเจ้านายของคุณเองด้วยเหตุว่าแม้ HR โทรศัพท์เข้ามาไต่ถามถึงหลักการทำงานของคุณ เขาควรเป็นผู้ที่ตอบได้แจ้งชัดแล้วก็ถูกที่สุด แต่ถ้าเกิดคุณกลัวเขาจะทราบดีว่าคุณมีแผนการที่จะลาออกและไม่ต้องการให้ HR โทรไปสอบถามหากไม่จำเป็นก็บางครั้งอาจจะใส่เนื้อความเก๋ๆว่า upon request
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง :
เว็บเขียน resumeTags : เรซูเม่, งาน